ฉากแท่นบูชาเมรอด
ฉากแท่นบูชาเมรอด | |
---|---|
ศิลปิน | โรเบิร์ต กัมปิน |
ปี | ค.ศ. 1425 - ค.ศ. 1428 |
ประเภท | จิตรกรรมแผง |
สถานที่ | พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน, นครนิวยอร์ก |
ฉากแท่นบูชาเมรอด (อังกฤษ: Mérode Altarpiece) หรือ ฉากแท่นบูชาการประกาศของเทพ (Annunciation Altarpiece) เป็นจิตรกรรมแผงที่เขียนโดยโรเบิร์ต กัมปิน จิตรกรสมัยศิลปะเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
โรเบิร์ต กัมปินเขียนภาพ "ฉากแท่นบูชาเมรอด" ระหว่างปี ค.ศ. 1425 ถึงปี ค.ศ. 1428 แต่บ้างก็เชื่อว่าเขียนโดยผู้ติดตามหรือเป็นงานก๊อบปี้จากงานดั้งเดิมของกัมปิน[1] ในปัจจุบันพิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตันให้คำบรรยายภาพนี้ว่าเขียนโดย "โรเบิร์ต กัมปิน และผู้ช่วย"[2] "ฉากแท่นบูชาเมรอด" ถือกันว่าเป็นภาพเขียนที่งดงามที่สุดของสมัยเนเธอร์แลนด์เริ่มแรกในนิวยอร์กและในทวีปอเมริกาเหนือ จนกระทั่งการมาถึงของภาพ "การประกาศของเทพ" โดยยัน ฟัน ไอก์ "ฉากแท่นบูชาเมรอด" กลายเป็นงานเขียนที่มีชื่อที่สุดของฟัน ไอก์ ที่อาจจะเป็นเพราะฟัน ไอก์ใช้สร้างเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นภายในที่อยู่อาศัยโดยมีภูมิทัศน์เมืองลิบ ๆ ที่เห็นจากหน้าต่าง
เนื้อหาของภาพ
[แก้]"ฉากแท่นบูชาเมรอด" เป็นบานพับภาพที่ประกอบด้วยแผงสามแผงที่อาจจะได้รับจ้างสร้างสำหรับเป็นใช้ส่วนตัวเพราะมีขนาดค่อนข้างเล็ก ภาพเหมือนผู้อุทิศอยู่บนแผงซ้าย ถัดไปเป็นภาพผู้อุทิศสตรีที่มีสาวใช้อยู่ข้างหลังที่สันนิษฐานว่าเป็นส่วนที่มาเขียนเพิ่มภายหลังโดยจิตรกรคนอื่น ซึ่งอาจจะเขียนหลังจากผู้อุทิศแต่งงาน ผู้อุทิศดูเป็นผู้เป็นชนชั้นกลางจากเมเคอเลิน (Mechelen) ที่มีหลักฐานบันทึกในตูร์แน (Tournai) ในปี ค.ศ. 1427 จากตราประจำตระกูลบนหน้าต่างประดับกระจกสีบนแผงกลางของภาพ[3] แผงกลางเป็นภาพการประกาศของเทพ โดยมีร่างเล็ก ๆ ของพระเยซูถือกางเขนลอยลงยังเวอร์จินแมรีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการตั้งครรภ์โดยการกระทำของพระเจ้า ทางแผงขวาเป็นภาพของนักบุญโยเซฟ ที่กำลังทำงานไม้ง่วนอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ไคร่เห็นบ่อยนัก และสิ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งคือตามพระคัมภีร์แล้ว นักบุญโยเซฟและเวอร์จินแมรีไม่ได้แต่งงานกันจนกระทั่งหลังจากการประกาศของเทพ แต่ในภาพนี้ดูราวกับว่าสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว
งานเขียนนี้ตั้งแสดงอยู่ในเดอะคลอยสเตอส์ (The Cloisters) ที่เป็นสาขาหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตันสำหรับแสดงศิลปะจากยุคกลาง แต่แผงกลางมีอีกฉบับหนึ่งที่อยู่ที่บรัสเซลส์ซึ่งงานจะเป็นงานฉบับดั้งเดิมของกัมปิน เดิมงานเขียนเป็นของตระกูลอาเรินแบร์คและตระกูลเมรอด (เจ้านายชาวเบลเยียม) ก่อนที่จะมาขายในตลาดศิลปะ
สัญลักษณ์
[แก้]รูปสัญลักษณ์ภายในภาพเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาต่าง ๆ แต่ความหมายของแต่ละอย่างก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวอเมริกันไมเออร์ ชาพีโร (Meyer Schapiro) เป็นผู้ริเริ่มการศึกษาสัญลักษณ์ของกับดักหนู[4] และต่อมานักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวเยอรมันเออร์วิน พานอฟสกี มาเพิ่มเติมการวิจัยต่อที่รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ เช่นเครื่องเรือน ข้อถกเถียงที่คล้ายคลึงกันนี้เป็นข้อถกเถียงทั่วไปสำหรับจิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรก และรายละเอียดของสัญลักษณ์บางอย่างที่พบในภาพนี้ที่ปรากฏเป็นครั้งแรก ต่อมาก็พบในภาพการประกาศของเทพโดยจิตรกรคนอื่น ๆ
-
หนังสือบนโต๊ะและอ่างพิสซีนาในฉากหลัง
-
แจกันดอกลิลลี
-
สิงโตบนพนักเก้าอี้
-
ชายส่งข่าว
-
กับดักหนูนอกหน้าต่าง
ม้วนหนังสือและหนังสือบนโต๊ะหน้าเวอร์จินแมรีเป็นสัญลักษณ์ของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และบทบาทของแมรีและพระเยซูเป็นการทำให้คำพยากรณ์ในอดีตกลายมาเป็นความจริง ดอกลิลีในแจกันบนโต๊ะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพรหมจารีของแมรี สิงโตที่ตกแต่งบนแขนเก้าอี้อาจจะเป็นเป็นเครื่องหมายที่ระบุความสำคัญของที่นั่ง ที่อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของบัลลังก์แห่งปัญญา (Throne of Wisdom) หรือบัลลังก์ของโซโลมอน ซึ่งพบในภาพเขียนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนทางศาสนาหรือไม่เช่นใน "ภาพเหมือนอาร์นอลฟีนี" (Arnolfini Portrait) ของฟัน ไอก์ การจัดที่สำหรับซักล้างทางด้านหลังของภาพเป็นการจัดที่แปลกกว่าการตกแต่งภายในโดยทั่วไปที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการมีอ่างพิสซีนา (piscina) สำหรับนักบวชล้างมือระหว่างพิธีมิสซา โต๊ะสิบหกเหลี่ยมอาจจะหมายถึงประกาศกฮีบรูสิบหกคน และโดยทั่วไปแล้วโต๊ะจะหมายถึงแท่นบูชา โดยมีผู้ทำพิธีเป็นเทวดาเกเบรียลที่แต่งตัวอย่างนักบวช ภาพเขียนนี้ก็เช่นเดียวกับภาพ "การประกาศของเทพ" ของยัน ฟัน ไอก์ ที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ซับซ้อนที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการประกาศของเทวดาเกเบรียลกับพิธีมิสซาของศีลศักดิ์สิทธิ์ (Sacraments) ของศีลมหาสนิท (Eucharist) [5] แมรีนั่งบนพื้นเพื่อเป็นการแสดงความถ่อมตัว รอยพับบนเสื้อตรงเข่าเล่นกับแสงที่ดูเหมือนดวงดาวที่อาจจะเป็นนัยเปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นดาราแห่งดารา
บนแผงขวาเป็นภาพนักบุญโยเซฟผู้เป็นช่างไม้กำลังสร้างกับดักหนูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการดักและการทำลายปีศาจของพระเยซู ที่เป็นอุปมาที่นักบุญออกัสตินแห่งฮิปโปใช้สามครั้ง: "กางเขนของพระองค์คือกับดักของปีศาจ; เหยื่อที่ถูกจับได้คือความตายของพระองค์"[6] ถ้าดูอีกมุมมองหนึ่งนักบุญโยเซฟก็อาจจะกำลังทำเครื่องมือทำเหล้าองุ่นที่ใช้กันในสมัยนั้นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเหล้าองุ่นสำหรับศีลมหาสนิทและสัญลักษณ์ของพระทรมานของพระเยซู สัญลักษณ์ของกับดักหนูอาจจะอยู่นอกหน้าต่างของนักบุญโยเซฟด้วยก็ได้ ที่บางคนเห็นกับดักจากหน้าต่างซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์เดียวกันที่เป็นการใช้พระเยซูเป็นเหยื่อในการจับซาตาน ตัวอย่างนี้หายากในภาพเขียนอื่นแต่ก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง
เบื้องหลังการจ้างงาน
[แก้]บานพับภาพมีความเกี่ยวข้องกับเมเคอเลินในเบลเยียมอยู่เป็นเวลานาน ชายบนแผงกลางอาจจะมาจากตระกูลอิมแบร็คต์ (Ymbrechts, Imbrechts) หรืออิงเคิลแบร็คตส์ (Inghelbrechts) ของเมเคอเลิน ใน ค.ศ. 1966 เฮลมุต นิกเกิลพบเหตุผลที่สนับสนุนความสัมพันธ์นี้ ชายมีหนวด [1] ที่ยืนอยู่ในฉากหลัง (เขียนเพิ่มภายหลัง) ในบานภาพซ้าย ดูเหมือนจะแต่งตัวแบบนักส่งข่าวของเมือง โดยมีตราบนหน้าอกเสื้อที่เป็นตราประจำเมืองเมเคอเลิน
การค้นคว้าต่อมาในหอเอกสารของการบันทึกนามของเทศมนตรีของเมืองพบว่าครอบครัวอิมแบร็คต์ได้ทำการค้าขายในเมเคอเลินจากอย่างน้อยตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 และสมาชิกบางคนในครอบครัวทำการค้าขายกับตูร์แน ครอบครัวอิมแบร็คต์มีความเกี่ยวข้องกับอัศวินทิวทอนิกที่ก่อตั้งในเมเคอเลินในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 13 ที่ขึ้นอยู่กับโคเบล็นซ์ และยังมีหลักฐานว่ามีผู้เป็นสมาชิกอย่างน้อยสี่คนพำนักอยู่ในเมเคอเลินระหว่าง ค.ศ. 1330 ถึง ค.ศ. 1480 ที่ไม่ก็เกี่ยวข้องทางธุรกิจกับครอบครัวเอ็งเงิลเบร็ชท์ (Engelbrecht) ในโคโลญซึ่งไม่ไกลจากโคเบล็นซ์
อาจจะเป็นได้ว่าความเกี่ยวข้องกับตระกูลอิมแบร็คต์-เอ็งเงิลเบร็ชท์ทำให้ ร็อมเบาท์ เอ็งเงิลเบร็ชท์ตัดสินใจมาตั้งหลักแหล่งในเมเคอเลิน ชาวโคโลญผู้นี้ปรากฏหลักฐานในฐานะพ่อค้าของเมเคอเลินในบัญชีของตูร์แนในปี ค.ศ. 1927 และซื้อสิทธิในการเป็นชาวเมืองหลายปีหลังจากที่ตั้งหลักแหล่งที่นั่น หลังจากนั้นเพเทอร์น้องชายของร็อมเบาท์ก็ตามมาตั้งหลักแหล่งที่นั่นด้วยและเป็นชาวเมืองเมเคอเลินหลังปี ค.ศ. 1450 พ่อของทั้งสองคนนี้เป็นเทศมนตรีที่โคโลญ เพเทอร์และไฮน์ริชน้องชายต่อมาต่างก็เป็นเทศมนตรีเช่นกัน และลูกชายของเพเทอร์ต่อมา เพเทอร์หรือเพทรุส เอ็งเงิลเบร็ชท์เกิดราว ค.ศ. 1400 และอาจจะเป็นพ่อค้าผ้าหรือขนแกะที่มีฐานะดีและมีที่ดินอยู่ที่แอนต์เวิร์ป, เมเคอเลิน และลักเซมเบิร์ก และทางภรรยาคนแรกในบริเวณคือลิก (Gulik) และในโคโลญด้วย เพเทอร์สร้างโบสถ์น้อยเพิ่มในวัดที่เก่าที่สุดในเมเคอเลินรวมทั้งจ้างนักบวชส่วนตัวและภายในโบสถ์น้อยก็ก่อตั้งนักบวชที่ได้รับการดูแลอย่างดี เพเทอร์ย้ายมาเมเคอเลินหลังจากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในปี ค.ศ. 1450 เมื่อเพเทอร์และร็อมเบาท์ถูกกล่าวหาว่าฆ่าพระ ด้วยเหตุนี้ทั้งเพเทอร์และร็อมเบาท์ (ที่ขณะนั้นเป็นชาวเมืองเมเคอเลินแล้ว) รวมทั้งน้องสาวที่แต่งงานกับชาวเมเคอเลินก็ถูกตัดสินให้ถูกจำขัง
เรื่องของเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจและเป็นเรื่องระหว่างเพเทอร์และร็อมเบาท์กับแม่หม้ายของผู้ร่วมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพระที่ถูกฆ่า จนเมื่อผู้ร่วมธุรกิจถูกประหารชีวิตและดุ๊กแห่งเบอร์กันดีและสมเด็จอัครบาทหลวงแห่งลีแยฌเข้ามาเกี่ยวข้อง เพเทอร์และร็อมเบาท์จึงได้ถูกปล่อยตัว เพื่อเป็นการรักษาความสงบหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว เพเทอร์ก็ใช้ตราประจำตัวที่เหมือนกับตราที่ใช้โดยตระกูลอิมแบร็คต์แห่งเมเคอเลินใช้ สมาชิกของตระกูลเอ็งเงิลเบร็ชท์ในโคโลญไม่ได้ใช้ตรานั้นก่อนปี ค.ศ. 1450 ร็อมเบาท์ พี่ชายของเพเทอร์ใช้ตราที่มีอักษร แต่ก็อาจจะเป็นได้ว่าการใช้ตราเป็นการบังคับให้ใช้เพื่อเป็นการลงโทษก็ได้โดยมีโซ่บนสามเหลี่ยมเชฟรอนอยู่บนตราที่เป็นเครื่องหมายของการติดคุก
หลังจากนั้นเพเทอร์ก็ย้ายธุรกิจจากโคโลญมาแอนต์เวิร์ปและต่อมาเมเคอเลิน ในเมเคอเลิน เพเทอร์กลายเป็นคนสำคัญและเป็นที่รู้จักของผู้ค้าขนแกะและสมาคมพ่อค้าผ้าและมีตำแหน่งการบริหารทั้งในสมาคมและในเทศบาลเมือง แต่เพเทอร์ได้รับตำแหน่งเหล่านี้หลังปี ค.ศ. 1467 เมื่อชาวเมืองพยายามแข็งข้อต่อชาร์ลผู้อาจหาญ (Charles the Bold) เพเทอร์อาจจะได้รับรางวัลจากการที่ได้ช่วยเหลือพ่อของดุ๊กชาร์ลในปี ค.ศ. 1450 ก็เป็นได้
เพเทอร์แต่งงานอย่างน้อยสามครั้ง ครั้งแรกกับสตรีจากโคโลญ (ระหว่างปี ค.ศ. 1467 ถึง ค.ศ. 1428) ชื่อ สไกรน์มาเกอเรอ (Scrynmakere) หรือชรีเนอเมเคอร์ (Schrinemecher) ที่หมายความว่าคนทำตู้ ซึ่งอาจจะเป็นอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนักบุญโยเซฟในบานขวาของภาพ ภรรยาคนแรกเป็นสตรีที่มีฐานะดีและเสียชีวิตราวเมื่อเพเทอร์ย้ายออกจากโคโลญ ภรรยาคนที่สองชื่อ ไฮล์วิค บิลเลอ (Heylwich Bille) จากเบรดาผู้อาจจะเป็นเจ้าของตราบนแผงกลาง มาร์กาเรตา เดอ แก็มเปอเนอเรอ ภรรยาคนที่สามเป็นผู้ที่เสียชีวิตหลังเพเทอร์ เพเทอร์เป็นที่รู้จักกันในแอนต์เวิร์ปว่าเป็นพ่อค้าที่มีความสามารถที่มีที่ทางบ้านเรือนหลายแห่งและเป็นผู้มีอิทธิพล
มีผู้เสนอว่าผู้ส่งข่าวในฉากหลังอาจจะเป็นผู้ถือสารสำคัญระหว่างเมเคอเลินกับโคโลญและกับดุ๊ก และการติดต่อเป็นการนำไปสู่การปลดปล่อยของตระกูลเอ็งเงิลเบร็ชท์ การตีความหมายของสัญลักษณ์ของชื่อสไกรน์มาเกอเรอหรือชรีเนอเมเคอร์ได้รับการเสนอโดยศาสตราจารย์เทือร์เลอมันน์ ผู้เสนออุปมานิทัศน์คล้ายคลึงกันกับชื่อเอ็งเงิลเบร็ชท์ - อิมแบร็คต์จากหัวเรื่องที่พบในแผงกลางของภาพ นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นภาพอดีตเหตุการณ์ (ex-voto) ของการแต่งงานครั้งแรกก็ได้[7]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ for example by Campbell in: National Gallery Catalogues (new series) : The Fifteenth Century Netherlandish Paintings, p. 72, Lorne Campbell, 1998, ISBN 185709171 and his 1974 Burlington article TSTOR specifically dealing with the authorship of the work
- ↑ See link below. The "assistant" appears to relate to the figure of the female donor, rather than the main subjects.
- ↑ See Metropolitan link, and also the final section here
- ↑ JSTOR, Art Bulletin reprinted in: Meyer Schapiro, Selected Papers, volume 3, Late Antique, Early Christian and Mediaeval Art, 1980, Chatto & Windus, London, ISBN 0701125144
- ↑ Lane, Barbara G,The Altar and the Altarpiece, Sacramental Themes in Early Netherlandish Painting, pp. 40-77; 42-47 discuss this work; Harper & Row, 1984, ISBN 0064301338
- ↑ quoted Shapiro:1
- ↑ H. Installé. The Merode-triptych. A mnemonic evocation of a merchant family that fled from Cologne and settled down in Mechelen. Le triptique Merode: Evocation mnémonique d'une famille de marchands colonais, réfugiée à Malines. In: Handelingen van de Koninklijke Kring voor Oudheidkunde, Letteren en Kunst van Mechelen, 1992, , nr. 1 , pp. 55-154. (English summary included)
ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ฉากแท่นบูชาเมรอด
- ฉากแท่นบูชาเมรอดที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเว็บ