ผงกล้วย
ผงกล้วย เป็นผงที่ได้มาจากกล้วยที่ผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ ถูกใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตนมปั่นและอาหารทารก[1][2] นอกจากนี้ยังได้มีกาารนำไปใช้ในการผลิตเค้กและบิสกิตหลายประเภท[3]
การผลิต
[แก้]ผงกล้วยผลิตขึ้นโดยใช้หยวกกล้วย โดนนำไปสับด้วยเครื่องจักร จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการด้วยเครื่องตัดโลหะโดยใช้เครื่องโม่บดแบบคอลลอยด์จนได้เป็นแป้งเปียก หลังจากนั้น ใช้โซเดียมเมตาไบซัลไฟต์เพื่อทำให้สีเหลืองของแป้งเปียกสว่างยิ่งขึ้น แล้วจึงนำแป้งเปียกไปทำให้แห้งด้วยวิธีการทำให้แห้งแบบลูกกลิ้งหรือแบบพ่นฝอย แต่แบบลูกกลิ้งได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากไม่มีแป้งเปียกสูญเสียไประหว่างการทำให้แห้ง การทำให้แห้งแบบลูกกลิ้งยังได้เพิ่มปริมาณผงกล้วยให้มากขึ้นอีก 2% และทำให้มันแห้งไปได้พร้อม ๆ กัน[3][4] แต่ไม่ว่ากระบวนการทำให้แห้งแบบใดก็ทำให้ผงกล้วยสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานประมาณหนึ่งปีก่อนที่จะหมดอายุเช่นเดียวกัน[5]
ประวัติ
[แก้]การใช้ผงกล้วยในสูตรอาหารทารกได้รับความนิยมแพร่หลายตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 เนื่องจากเป็นวิธีการในการรักษาสุขภาพของทารกให้แข็งแรง[6] ในปี ค.ศ. 1916 ผงกล้วยได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งใน "อุตสาหกรรมที่สำคัญของเวสต์อินดีส" ในช่วงเวลาดังกล่าว เช่นเดียวกับกล้วยตาก[7]
ยูไนเต็ดฟรุตคอมพานีเริ่มต้นออกผลิตภัณฑ์ชื่อว่า เมลโซ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930 โดยมีผงกล้วยเป็นส่วนประกอบหลัก และเนื่องจากคุณสมบัติที่มีประโยชน์ของผงกล้วย เมลโซจึงได้โฆษณาว่าเป็น "อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับเด็กและคนชรา ช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย และเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่สำหรับผู้ขี้เกียจทางร่างกายหรือจิตใจ"[2]
การนำไปใช้
[แก้]โดยทั่วไป
[แก้]ผงกล้วยได้รับการค้นพบว่าเป็น "แหล่งสำคัญของคาร์โบไฮเดรตและแคลอรี ในขณะที่เป็นแหล่งโปรตีนปริมาณไม่มากนัก แต่ถึงกระนั้น คุณค่าทางอาหารของผงกล้วยยัง "เหนือกว่าคุณค่าทางอาหารของผลไม้อื่นอย่างชัดเจน"[8] ผงกล้วยดังกล่าวยังพบว่ามีประโยชน์ในการรักษาอาการปวดแน่นท้องโดยทั่วไป[9]
ในทางวิทยาศาสตร์
[แก้]ในปี ค.ศ. 1984 นักวิทยาศาสตร์จากอินเดียสามารถแยกส่วนของ "สารประกอบรักษาแผลเปื่อย" ที่พบในผงกล้วย ซึ่งได้นำไปสู่การผลิตผงประเภทที่ "มีฤทธิ์มากขึ้น 300 เท่า" ในการป้องกันโรคกระเพาะอาหาร[10] ในภายหลังยังได้มีการค้นพบอีกว่าผงกล้วยยังได้เพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์ ซึ่งทำให้บริเวณที่เกิดแผลเปื่อยรักษาตัวเองได้เร็วขึ้น[11]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "The Hindu Business Line : BARC develops tech to make biscuits, baby food from banana". The Hindu. สืบค้นเมื่อ 25 November 2010.
- ↑ 2.0 2.1 Scofield Wilson, David (1999). Rooted in America: foodlore of popular fruits and vegetables. Univ. of Tennessee Press. pp. 28–29. ISBN 9781572330535.
banana powder
- ↑ 3.0 3.1 H. Hui, Yiu; Stephanie Clark (2007). Handbook of Food Products Manufacturing: Principles, Bakery, Beverages, Cereals, Cheese, Confectionary, Fats, Fruits, and Functional Foods. Wiley-Interscience. p. 873. ISBN 9780470049648.
- ↑ Food and Agriculture Organization of the United Nations (1989). Utilization of Tropical Foods: Trees. Food & Agriculture Org. pp. 33–34. ISBN 9789251027769.
- ↑ Association of Food Technologists (2007). "Packaging and storage studies on spray dried ripe banana powder under ambient conditions". Journal of Food Science. 44: 16–19.
- ↑ Pamphlets on Biology: Kofoid collection, Volume 147. 1900. pp. 12–15.
- ↑ United States. Bureau of Manufactures (1916). Commerce reports, Volume 4. Bureau of Foreign and Domestic Commerce, United States Dept. of Commerce. p. 290.
- ↑ Sri Avinashilingam Home Science College (1976). The Indian journal of nutrition and dietetics, Volume 13. Sri Avinashilingam Home Science College for Women. pp. 218–224.
- ↑ Al-Achi, Antoine (2008). An introduction to botanical medicines: history, science, uses, and dangers. ABC-CLIO. p. 80. ISBN 9780313350092.
- ↑ Information, Reed Business (6 September 1984). "Rats with ulcers go bananas". New Scientist: 22.[ลิงก์เสีย]
- ↑ R.K. Goela; Saroj Guptab; R. Shankarc; A.K. Sanyal (1986). "Anti-ulcerogenic effect of banana powder (Musa sapientum var. paradisiaca) and its effect on mucosal resistance". Journal of Ethnopharmacology. 18 (1): 33–44. doi:10.1016/0378-8741(86)90041-3. PMID 3821133.[ลิงก์เสีย]